นักศึกษาหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการตรวจสอบและกฎหมายวิศวกรรม รุ่นที่ 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
มุมมองของนักกฎหมาย ในการทำหน้าที่ของอนุญาโตตุลาการ เนื่องจากอนุญาโตตุลาการต้องใช้ความรู้ความสามารถใทางวิชาชีพอันมิใช่นักกฎหมายเพียงด้านเดียว เพราะข้อพิพาทที่ต้องใช้อนุญาโตตุลาการนั้นเป็นข้อสัญญาในทางแพ่งพาณิชย์ที่ไม่ขัดกับความสงบเรียบร้อย เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญาจ้างก่อสร้าง ซึ่งเป็นมุมมองที่แตกต่างกัน ตามสาขาวิชาชีพ ที่กล่าวถึงทั้งหมดเป็นเรื่องที่นักกฎหมาย หรือผู้พิพากษาให้แนวคิดไว้ และเป็นแนวทางปฏิบัติของศาลกับสัญญาอนุญาโตตุลาการ รวมถึงการใช้สัญญาอนุญาโตตุลาการในการคุมครองชั่วคราว
Abstract
The view point of a lawyer in performing of an arbitrator because arbitrator must use ability knowledge in the sense of vocation not a lawyer just one-sided because the dispute where must use that arbitrator is the obligation in the sense of civil the commerce that doesn't contrary to the peace such as contract of sale , the contract builds which view different point follow living field at mention all get into trouble at a lawyer or the judge gives the idea keeps and in rows the way ministers of the court with promises an arbitrator include using promises an arbitrator in the supervision puts on temporary.
Keyword: อนุญาโตตุลาการ หน้าที่ของอนุญาโตตุลาการ การระงับข้อพิพาท สัญญาอนุญาโตตุลาการ
1. บทนำ
การอนุญาโตตุลาการ (Arbitration) เป็นวิธีระงับข้อพิพาทซึ่งคู่พิพาทตกลงกันตั้งบุคคลที่สาม ซึ่งเรียกว่า อนุญาโตตุลาการ ขึ้นมาเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างกัน และเมื่ออนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดอย่างใดแล้วย่อมผูกพันให้คู่พิพาทต้องปฏิบัติตาม ดังนั้นในทางวิศวกรรมก่อสร้าง ในปัจจุบันสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ตามโครงการต่างๆที่เกิดขึ้น ทั้งโครงการขนาดใหญ่ และโครงการขนาดเล็ก ทั้งเป็นการร่วมกันลงทุนกับต่างชาติ และทุนโดยเจ้าของคนเดียว ทั้งเกิดโดยผลแห่งผลแห่งสัญญาก่อสร้าง และสัญญาทางการค้า ดังนั้นวิศวกรจึงต้องทำการศึกษาและทำความเข้าใจในเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากสัญญาก่อสร้าง และวิธีระงับข้อพิพาทโดยการอนุญาโตตุลาการ
2. อำนาจ หน้าที่ ของอนุญาโตตุลาการ
หน้าที่ของอนุญาโตตุลาการ
อดีตประธานศาลฎีกาได้ให้มุมมองของอนุญาโตตุลาการว่า เป็นการทำหน้าที่คล้ายผู้พิพากษา ในหลายประเทศที่มีระบบอนุญาโตตุลาการมานานแล้ว เช่นในสหรัฐอเมริกา มีประมวลจริยธรรมของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งเรียกว่า Code of Ethic for Arbitration in Commercial Disputeซึ่งอนุญาโตตุลาการแตกต่างกับผู้พิพากษาทั้งในบทบาท หน้าที่ และฐานะ กล่าวคือ
ประการแรก อนุญาโตตุลาการอาจจะไม่ใช่นักกฎหมาย อาจจะไม่ใช่ข้าราชการหรือแม้จะเป็นข้าราชการที่มาทำหน้าที่เป็นอนุญาโตตุลาการก็ไม่ได้มาทำหน้าที่ในฐานะเป็นข้าราชการ ซึ่งต่างจากผู้พิพากษาต้องเป็นนักกฎหมายเพื่อทำหน้าที่ตัดสินคดี
ประการที่สอง อนุญาโตตุลาการส่วนใหญ่ประกอบวิชาชีพหรืออาชีพอื่น และมีงานหลักประจำอยู่แล้ว การทำหน้าที่เป็นอนุญาโตตุลาการจึงเป็นงานชั่วคราวเท่านั้น
ประการที่สาม ซึ่งเป็นข้อที่สำคัญมากข้อหนึ่ง คือ อนุญาโตตุลาการจะเป็นผู้ที่คู่กรณีเลือกขึ้นมาให้ตัดสินข้อพิพาทของตน แต่คู่กรณีไม่สามารถเลือกผู้พิพากษาสำหรับตัดสินคดีของตนเองได้ แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างอนุญาโตตุลาการกับคู่กรณีนั้น ซึ่งต่างกับผู้พิพากษาจะไม่มีความสัมพันธ์กับคู่ความเลย
ประการที่สี่ ข้อพิพาทที่อนุญาโตตุลาการตัดสินนั้นเป็นเรื่องทางแพ่งและพาณิชย์ ฉะนั้นอนุญาโตตุลาการไม่อาจจะชี้ขาดข้อพิพาทในทางอาญาได้ ข้อนี้ดูเหมือนจะไม่สำคัญนัก แต่ก็ทำให้เห็นขอบเขตการทำงานของอนุญาโตตุลาการว่าแตกต่างกับงานผู้พิพากษาอย่างไร
ประการที่ห้า การพิจารณาคดีของศาลต้องยึดถือตัวบทกฎหมายเป็นหลักของการดำเนินกระบวนพิจารณาตามกฎหมายวิธีพิจารณาและกฎหมายลักษณะพยานโดยเคร่งครัด การพิจารณาของศาลเน้นทั้งด้านความบริสุทธิ์และความยุติธรรม ส่วนงานของอนุญาโตตุลาการดูเหมือนจะเน้นเรื่องความรวดเร็ว ความเป็นกันเอง การรักษาความลับและยึดความเป็นธรรมเป็นจุดมุ่งหมาย จะไม่เคร่งครัดต่อกฎระเบียบหรือข้อกฎหมายมากนัก
ประการสุดท้าย คือ คู่กรณีจะเป็นผู้จ่ายค่าจ้างให้แก่อนุญาโตตุลาการ ต่างกับผู้พิพากษาซึ่งรับเงินเดือนจากทางราชการ ข้อนี้ดูเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่มีผลต่อการวางตัวและการระมัดระวังของอนุญาโตตุลาการยิ่งกว่าผู้พิพากษามาก
เนื่องจากบทบาทและหน้าที่ของอนุญาโตตุลาการแตกต่างกับผู้พิพากษาอยู่มาก ทั้งในด้านจุดมุ่งหมายและวิธีการตัดสินข้อพิพาท จึงไม่อาจจะนำจริยธรรมของผู้พิพากษามาใช้กับอนุญาโตตุลาการได้ทุกข้อ แต่เนื่องจากอนุญาโตตุลาการและผู้พิพากษาต่างก็มีหน้าที่ตัดสินข้อพิพาทให้เกิดความเป็นธรรมแก่คู่กรณี เพราะฉะนั้นจริยธรรมหลักบางประการของผู้พิพากษาก็น่าจะนำมาใช้กับอนุญาโตตุลาการได้เช่นกัน เช่นหลักในเรื่องความซื่อสัตย์ สุจริต ความเป็นอิสระความเป็นกลาง ส่วนที่อนุญาโตตุลาการมีบทบาทและฐานะแตกต่างไปจากผู้พิพากษาก็ต้องมีหลักจริยธรรมบางประการเพิ่มเติมหรือผิดแผกออกไป เช่นอนุญาโตตุลาการจะต้องยึดถือและปฏิบัติตามข้อตกลงตั้งอนุญาโตตุลาการโดยเคร่งครัด อนุญาโตตุลาการต้องไม่เสนอตัวเป็นอนุญาโตตุลาการต้องระมัดระวังเกี่ยวกับการติดต่อกับคู่กรณี ต้องไม่แสวงหาประโยชน์จากข้อพิพาทหรือต้องไม่ต่อรองเกี่ยวกับค่าบริการหรือค่าใช้จ่าย เป็นต้น
การใช้สัญญาอนุญาโตตุลาการในการคุ้มครองชั่วคราว
การคุ้มครองชั่วคราวเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่กรณี มีความสำคัญมากในการใช้ในการอนุญาโตตุลาการ กล่าวคือในการระงับข้อพิพาทโดยการอนุญาโตตุลาการนั้นมีหลักเกณฑ์เกี่ยวกับความร่วมมือของศาลเพื่อให้คู่กรณีมีการยอมรับในการบังคับคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งอาจจะไม่เพียงพอที่จะคุ้มครองประโยชน์ของผู้ชนะคดีได้เสมอไป เพราะในช่วงระยะเวลาก่อนหรือระหว่างการดำเนินคดีในชั้นอนุญาโตตุลาการ อาจมีเหตุฉุกเฉินที่คู่กรณีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจำเป็นต้องการขอให้คุ้มครองประโยชน์ชั่วคราว เป็นต้นว่าให้มีการยึดหรืออายัดทรัพย์ที่พิพาทไว้ชั่วคราวเพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งยักย้ายถ่ายเททรัพย์ที่พิพาทนั้น ซึ่งอาจทำให้ฝ่ายที่ชนะคดีไม่สามารถที่จะรักษาประโยชน์ของตนได้อย่างมีประสิทธิผล รวมถึงการห้ามคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ให้กระทำการใดๆที่จะมีผลกระทบถึงข้อพิพาทนั้น ซึ่งจะทำให้ผลต่อการตัดสินชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการได้การคุ้มครองชั่วคราวจึงมีความสำคัญ และจำเป็นในการเป็นเครื่องมืออันหนึ่งในการระงับข้อพิพาททางอนุญาโตตุลาการเพื่อให้ดำเนินไปโดยสำเร็จและเกิดประสิทธิผลสูงสุด
ในการออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวกฎหมายอนุญาโตตุลาการของประเทศไทย ในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องการคุ้มครองชั่วคราวในการอนุญาโตตุลาการ ได้กำหนดให้คู่สัญญาที่ได้ทำสัญญาอนุญาโตตุลาการ สามารถจะยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้มีคำสั่งในการคุ้มครองชั่วคราวเพื่อประโยชน์ของคู่กรณีได้ ซึ่งมีบทบัญญัติประการหนึ่งที่ให้อำนาจศาลในการมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว เพื่อเป็นการสนับสนุนในกระบวนการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งโดยหลักการแล้วการออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเป็นอำนาจของศาลโดยเฉพาะ แต่อย่างไรก็ตามคณะอนุญาโตตุลาการก็อาจจะมีอำนาจในการออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวได้เช่นเดียวกับศาล ต่างกันที่ว่ามาตรการคุ้มครองชั่วคราวที่ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวโดยคณะอนุญาโตตุลาการนั้นไม่มีสภาพบังคับตามกฎหมายได้ เนื่องจากอนุญาโตตุลาการมีสภาพเป็นเอกชน ไม่ใช่องค์ของรัฐที่มีอำนาจบังคับได้ด้วยตนเอง ดังนั้นมาตรการเพื่อการคุ้มครองชั่วคราวที่ออกโดยคณะอนุญาโตตุลาการ จึงจำเป็นต้องได้รับการบังคับให้จากศาล
บทบัญญัติในการคุ้มครองชั่วคราว การอนุญาโตตุลาการ ตามนัยในมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ได้บัญญัติไว้ว่า คู่สัญญาที่ได้ทำสัญญาอนุญาโตตุลาการไว้ อาจยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจให้มีคำสั่งใช้วิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของตน ก่อนหรือขณะดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการได้ ถ้าศาลเห็นว่ากระบวนการพิจารณานั้น หากเป็นการพิจารณาของศาลแล้วศาลทำให้ได้ ก็ให้ศาลจัดการให้ตามคำร้องนั้น ทั้งนี้ให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายวิธีพิจารณาความของศาลในส่วนที่เกี่ยวกับการนั้นมาบังคับใช้โดยอนุโลมจากบทบัญญัติข้างต้น มีนักกฎหมายบางท่านตั้งข้อสังเกตไว้ว่า บทบาทของศาลในกระบวนพิจารณาของอนุญาโตตุลาการตามกฎหมายไทย ซึ่งศาลมีอำนาจค่อนข้างมาก จึงเหมาะสำหรับการอนุญาโตตุลาการภายในประเทศ แต่ไม่เหมาะกับการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ
ศาลกับการใช้สัญญาอนุญาโตตุลาการ
อดีตประธานศาลอุทธรณ์ท่านหนึ่ง เคยกล่าวสรุปไว้ในส่วนที่เกี่ยวกับบริหารงานยุติธรรมองค์ประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ประการหนึ่ง ในการเอื้ออำนวยให้มีการเจริญเติบโตทางพาณิชย์การอุตสาหกรรมและการลงทุน คือ การให้มีวิธีระงับข้อพิพาทที่รวดเร็ว ประหยัดและเป็นธรรม
ศาลและกระทรวงยุติธรรมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างระบบการบริหารความยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาพิพากษาโดยศาลยุติธรรม หรือการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการให้เป็นที่เชื่อมั่นและไว้วางใจของวงการพาณิชย์และอุตสาหกรรม ทั้งภายในและระหว่างประเทศว่าเป็นระบบการบริหารงานยุติธรรมที่เป็นอิสระ มีศักดิ์ศรี มีประสิทธิภาพ และสามารถให้ความเป็นธรรมแก่คู่กรณีทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือชาวต่างประเทศโดยเสมอภาคกัน ซึ่งเคยมีนักวิชาการทาง
กฎหมายในประเทศอังกฤษเคยกล่าวไว้ว่า “เกือบจะเป็นสัจธรรมที่จะกล่าวว่าการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการดีกว่าการฟ้องร้องต่อศาล การประนอมข้อพิพาทดีกว่าอนุญาโตตุลาการ และหากสามารถป้องกันมิให้มีข้อพิพาทเกิดขึ้นได้แล้วย่อมเป็นการดีที่สุด”
การที่คู่สัญญาเลือกใช้วิธีการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการนั้น มีเหตุผลหลายประการที่สำคัญสรุปได้ว่าคู่กรณีสามารถเลือกผู้เป็นอนุญาโตตุลาการ หรือเลือกผู้ตัดสินชี้ขาดได้ด้วยตนเองดังนั้นในคดีที่พิพาทกันในปัญหาเทคนิคเฉพาะสาขาวิชา ก็จะมีการตั้งผู้เชี่ยวชาญวิชาชีพนั้นๆเป็นอนุญาโตตุลาการ เช่น สถาปนิกหรือวิศวกร โดยปกติแล้วการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการจะเป็นการพิจารณาลับ จึงเป็นประโยชน์แก่คู่กรณีในการที่จะรักษาความลับทางการค้า และสิ่งที่อาจจะสำคัญกว่า คือ คู่กรณีสามารถที่จะไม่ต้องการให้บุคคลภายนอกได้ล่วงรู้ถึงการมีกรณีพิพาทเกิดขึ้นได้
ในด้านความรวดเร็วและประสิทธิภาพ ข้อนี้ย่อมขึ้นอยู่กับสถาบันที่จัดการเกี่ยวกับอนุญาโตตุลาการว่ามีวิธีดำเนินการที่มีประสิทธิภาพเพียงใด ข้อบังคับอนุญาโตตุลาการของสถาบันนั้นมีความสมบูรณ์แค่ไหนสำหรับการอนุญาโตตุลาการ ข้อบังคับอนุญาโตตุลาการย่อมเปรียบเสมือนกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในศาล สถาบันอนุญาโตตุลาการต่างๆก็ย่อมจะต้องมีข้อบังคับของตนเองได้ซึ่งแต่ละสถาบันจะต้องสั่งสมชื่อเสียง ความเชื่อถือและการยอมรับจากมหาชนโดยใช้การดำเนินงาน
ที่มีประสิทธิภาพ
ระบบอนุญาโตตุลาการของไทยนั้นเป็นการแบ่งเบาภาระของศาล และเป็นการมองในด้านการเสริมกำลัง มองในแง่ว่าอนุญาโตตุลาการเป็นวิธีการที่มาช่วยศาลในการแบ่งเบาภาระที่ศาลต้องรับอยู่แต่เพียงฝ่ายเดียว มิใช่เป็นการแย่งความสำคัญของการพิพากษาคดีไปจากศาล ดังนั้นจะเห็นได้ว่าระบบอนุญาโตตุลาการที่สร้างขึ้นในประเทศไทย เป็นระบบอนุญาโตตุลาการที่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของศาลยุติธรรม เป็นระบบที่ต้องพึ่งพาอาศัยศาลให้คอยประคับประคองทั้งในระหว่างดำเนินกระบวนพิจารณาจนกระทั่งมีการชี้ขาด และหากคู่กรณีไม่ยอมปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการก็ต้องให้ศาลเป็นผู้บังคับคำชี้ขาดให้
เกี่ยวกับเรื่องอนุญาโตตุลาการ จึงถือว่าเป็นหน้าที่ของศาลภายใต้กฎหมายไทย คือพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการพ.ศ.๒๕๔๕ ที่จะต้องช่วยส่งเสริมและคอยควบคุมดูแลระบบอนุญาโตตุลาการให้ดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ หน้าที่หลักของศาลภายใต้พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ
ซึ่งแบ่งได้ 3 ประการดังนี้
ประการแรก หน้าที่จะต้องจำหน่ายคดีเมื่อคู่กรณีมีข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการระหว่างกัน กล่าวคือหากคู่กรณีฟ้องคดีต่อศาลเกี่ยวกับข้อพิพาทในสัญญา โดยไม่ได้ดำเนินการอนุญาโตตุลาการตามสัญญากันก่อน เมื่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งต้องการให้ใช้สัญญาอนุญาโตตุลาการ ศาลก็จะต้องจำหน่ายคดีเพื่อให้คู่สัญญาดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการก่อน ซึ่งหน้าที่ดังกล่าวเป็นหน้าที่ในอันที่จะส่งเสริมระบบอนุญาโตตุลาการ เพราะหากศาลไม่สั่งจำหน่ายคดีก็จะเป็นการทำลายเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ และจะทำให้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการไม่มีผลใช้บังคับ
ประการที่สอง เป็นหน้าที่ในการสนับสนุนการดำเนินการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการหน้าที่ดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจศาลเกี่ยวกับการมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว เพื่อประโยชน์ของคู่กรณีในระหว่างพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ และการให้ศาลชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายนอกจากนี้ศาลยังอาจสนับสนุนกระบวนพิจารณาในชั้นอนุญาโตตุลาการ โดยจะเป็นคนกลางชี้ขาดหรือตัดสินปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างกระบวนพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ เช่น การขอให้ศาลแต่งตั้งและถอดถอนอนุญาโตตุลาการหรือผู้ชี้ขาด การขยายเวลาในการพิจารณา เป็นต้น
ประการสุดท้าย คือ หน้าที่ในการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ หากคู่กรณีไม่ยอมปฏิบัติตามคำชี้ขาดดังกล่าว ฝ่ายที่จะขอให้มีการบังคับจะต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาตามคำชี้ขาด การที่จะมีคำพิพากษาบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการหรือไม่นั้น ศาลจะต้องไต่สวนว่าคำชี้ขาดนั้นว่าชอบด้วยกฎหมายที่ใช้บังคับแก่ข้อพิพาทหรือไม่เป็นคำชี้ขาดที่เกิดจากการกระทำหรือวิธีการอันมิชอบหรือไม่ คำชี้ขาดนั้นอยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการหรือคำขอของคู่กรณีหรือไม่ ซึ่งอำนาจในการไต่สวนดังกล่าวทำให้ศาลเป็นผู้ควบคุมดูแลกระบวนพิจารณาของอนุญาโตตุลาการให้ดำเนินไปโดยถูกต้องการไต่สวนของศาลจะต้องกระทำโดยด่วน และจะต้องพิจารณาว่าการดำเนินกระบวนการพิจารณาและคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการมีข้อผิดพลาดหรือไม่ถูกต้องตามขั้นตอน ขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือไม่ ถ้าหากไม่มีข้อผิดพลาดหรือบกพร่องศาลก็จะมีคำพิพากษาบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ โดยไม่จำเป็นต้องกลับไปวินิจฉัยถึงประเด็นข้อพิพาทที่อนุญาโตตุลาการได้ชี้ขาดไปแล้ว และศาลต้องมีทัศนคติที่ดีต่อระบบอนุญาโตตุลาการไม่ว่าจะเป็นอนุญาโตตุลาการภายในประเทศหรืออนุญาโตตุลาการต่างประเทศ ดังนั้นระบบการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ จึงมีความจำเป็นสำหรับประเทศไทยในปัจจุบัน สถาบันศาลจะต้องให้การสนับสนุนและมีส่วนร่วมในการดูแลให้ระบบนี้เจริญก้าวหน้าเคียงคู่ศาลและเป็นผู้ช่วยของศาลในการระงับข้อพิพาททางแพ่งและพาณิชย์
3. สรุป
เพื่อให้วิศวกรวิชาชีพได้เข้าใจถึง แนวคิดของนักกฎหมาย หรือผู้พิพากษา เกี่ยวกับเรื่องสัญญาอนุญาโตตุลาการและวิธีระงับข้อพิพาทตามสัญญาอนุญาโตตุลาการโดยนักกฎหมาย หรือผู้พิพากษา และ การคุ้มครองชั่วคราวตามสัญญาอนุญาโตตุลาการ
กิตติกรรมประกาศ
ผู้เขียนใคร่ขอขอบคุณคณะผู้จัดทำเว็บไซต์ และขอขอบคุณคณะผู้จัดทำเว็ปไซด์กูเกิลล์ ซึ่งเป็นเครื่องมือในการศึกษาค้นคว้า สืบค้นข้อมูลทางอิเลคทรอนิคส์ ถือว่าเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการเขียนบทความฉบับนี้ รวมถึงขอขอบพระคุณนักวิชาการในด้านกฎหมายเกี่ยวกับอนุญาโตตุลาการในงานวิศวกรรมที่มิได้เอ่ยนามมา ณ ที่นี้
ท้ายที่สุดนี้ขอขอบพระคุณ คณะอาจารย์ ผู้บริหารโครงการพิเศษ วิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่ได้ให้โอกาสผู้เขียนในการศึกษาค้นคว้า เรื่องการอนุญาโตตุลาการเกี่ยวกับงานวิศวกรรม จึงทำให้เกิดเป็นบทความเรื่องนี้ขึ้น
เอกสารอ้างอิง
[1] สำนักงานระงับข้อพิพาท สำนักงานศาลยุติธรรม,2552. คู่มือการระงับข้อพิพาทสำหรับประชาชน. 9,500เล่ม. พิมพ์ครั้งที่5. นนทบุรี : เพชรรุ่งการพิมพ์.
[2] เรือเอก อานนท์ ไทยจำนง, 2548. ปัญหาและแนวทางการใช้
สัญญาอนุญาโตตุลาการเพื่อการระงับ/ยุติข้อพิพาทในงานก่อสร้าง กรณีสัญญาก่อสร้างงานราชการ.บัณฑิตศึกษา สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ.
[3] มั่น ศรีเรือนทอง, 2541. อนุญาโตตุลาการสาขาวิชาชีพวิศวกรรมและงานก่อสร้าง. วารสารโยธาสาร 10, 3 (กรกฎาคม-กันยายน 2541) : 30-31.
[4] วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, 10 พฤศจิกายน 2552. อนุญาโตตุลาการ.http://th.wikipedia.org/wiki/อนุญาโตตุลาการ.
ประวัติผู้เขียน และผู้เขียนร่วม
นายธีรพงษ์ เพาะพูล
วศ.บ. (ไฟฟ้า) สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตเทเวศ
ผู้จัดการโครงการ บริษัทคิว ที ซีเอ็นจีเนียริ่ง จำกัด